"คู่กรรม" เวอร์ชั่นM๓๙ ผกก."เรียว" ตีโจทย์เน้นความสมจริง

จาก นสพ
http://www.dailynews.co.th
คงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวความรักสั
กเรื่องผ่านตัวอักษรให้ออกมางดงาม และตราตรึงเข้าไปในใจของผู้อ่าน เฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่ ทมยันตี นักเขียนเจ้าของผลงานที่ครองใจแฟน ๆ อย่างมากมาย และยาวนานได้ถ่ายทอดไว้ในบทประพันธ์เรื่อง คู่กรรม ที่ถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์ ละครเวที และภาพยนตร์มานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการตีความที่เหมือน หรือแตกต่างกันออกไปตามทรรศนะของผู้กำกับแต่ละคน และที่สำคัญทุกครั้ง ก็เป็นการทำให้บทประพันธ์เรื่องนี้มีแต่จะทรงคุณค่ายิ่งขึ้นไป
ครั้งหนึ่ง...เหตุการณ์ต่อไปนี้
ได้เคยเกิดขึ้นจริง ๆ ในปี พ.ศ. 2485 สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เริ่มต้นขึ้น กองทัพญี่ปุ่นได้เดินทางมาประเทศไทยเพื่อใช้เป็นฐานทัพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในเขตพระนครของกรุงเทพฯ เนื่องจากประเทศไทยได้เซ็นสัญญาร่วมรบกับกองทัพญี่ปุ่นในฐานะพันธมิตร และประชาชนทุกคนต้องให้ความร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ หากผู้ใดฝ่าฝืนจำต้องได้รับโทษ ซึ่งแน่นอนว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นด้วยกับกฎหมายข้อบังคับของรัฐบาล
คู่กรรม โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญว่า เมื่อเกิด ‘ความรัก’ ขึ้นท่ามกลางสงคราม ระหว่างหญิงสาวชาวไทยนามว่า อังศุมาลิน และทหารญี่ปุ่นนามว่า โกโบริ ความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติ
และเหตุผลทางการเมือง ก็อาจผันเปลี่ยนเป็น ‘รักต้องห้าม’ ไปได้
และในปีนี้ พ.ศ. 2556 เริ่มมีกระแสข่าวเป็นที่จั
บตามองจากทุก ๆ สื่อ หลังจากมีการประกาศจากค่าย M๓๙ ว่าจะมีการสร้าง คู่กรรม ใหม่อีกครั้ง โดยมีพระเอกละครที่กำลังได้รับความนิยมสูงสุด ณ เวลานี้อย่าง ณเดชน์ คูกิมิยะ มารับบทเป็น โกโบริ สมทบกับนางเอกใหม่ อรเณศ ดีคาบาเลส สาวน้อยวัย 18 ปี เจ้าของแววตาใสซื่อ ที่มีดีกรีเป็นถึงนักกีฬาเหรียญทองแบดมินตันเยาวชนแห่งชาติ มารับบทเป็น อังศุมาลิน พร้อมด้วยการตีความจากบทประพันธ์ครั้งใหม่จากผู้กำกับที่มีเอกลักษณ์ในการกำกับเฉพาะตัวอย่าง เรียว-กิตติกร เลียวศิริกุล ส่งผลให้การสร้าง คู่กรรม ครั้งใหม่นี้อาจสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ให้ผู้ชมจดจำภาพตำนานรักข้ามชาติในรูปแบบที่ไม่เหมือนเดิม
เรียว-กิตติกร คุยให้ฟังว่า “ผม ไม่ดูหนังเวอร์ชั่นเก่า ก่อนจะลงมือสร้างเลย เพราะจะทำให้รู้สึกกดดันมาก ทำไมถึงเป็น คู่กรรม ผมว่าโครงสร้างของ คู่กรรม นั้นดีอยู่แล้ว เป็นเรื่องราวที่มีมุมหลายมุ
มให้เอามาทำอยู่เยอะมาก และอีกเหตุผลหนึ่งคือ ผมคงไม่สามารถคิดหรือเขียนพล็อตเรื่องอะไรดีเท่านี้ได้อีกแล้ว คนจะถามเสมอว่าของเก่ามันดีอยู่แล้วจะ ทำของใหม่ทำไม ผมว่ามันดีตามยุคสมัย คือให้มันเป็นไปตามยุคมากกว่า ของดีต้องเปลี่ยนแปลงไปตามยุค อย่างรำไทยยุคใหม่ ควรจะรำแบบประยุกต์รึเปล่า ต่างคนต่างความคิด แต่ส่วนตัวคิดว่าต้องทำ ถ้าไม่ทำมันจะหายไป คือยังไงลายเซ็นของทุกคนไม่เหมือนกัน ใครทำก็ไม่มีทางเหมือนกัน อาจจะทำง่ายกว่าด้วยซ้ำ เพราะว่ามีการบ้านที่คนอื่นทำแล้ว แต่ในอีกแง่ถ้าเราทำจากการบ้านของคนอื่นก็จะเป็นการกดดันตัวเอง เราก็ทำของเราไป”
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้
กำกับหนุ่มลงมือสืบค้นหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างหนักหลายเดือน เพื่อผลลัพธ์ที่จะนำมาใช้ในภาพยนตร์ ‘สมจริง’ มากที่สุด อีกทั้งสถานที่จริงและหลักฐานจริง ที่เขาต้องพิถีพิถันในการคัดกรองข้อมูลอย่างหนัก “เรื่องนี้หนักที่งานสร้างตัวละคร กว่าจะสร้างให้เป็นตัวละคร โกโบริ–อังศุมาลิน ผมใช้เวลาไปกับการสร้างตัวละครเยอะ ซ้อมเยอะ ใช้เวลากับช่วงพรีโพลเยอะ มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจเยอะ ช่วงถ่ายนิดเดียวแต่งานก่อนถ่ายเยอะมาก เช่นตกลงจะมีไฟฟ้ามั้ย จะนอนมุ้งหรือไม่นอนมุ้ง มียุงหรือไม่มี ยุ่งนะเรื่องการสร้างความเชื่อเรื่องตัวละคร สร้างบรรยากาศ รีเสิร์ชข้อมูลจริงที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น สงคราม การเดินทาง จำนวนผู้คน รายละเอียดมันเยอะ ซึ่งทั้งหมดก็ต้องรีเสิร์ชเอง”
กับคำถามที่ว่าเขาจะสรรสร้าง คู่กรรม ออกมาเป็นอย่างไร “ผมมองว่าญี่ปุ่นในสมัยนั้นเป็
นเพื่่อนบ้านที่กำลังมีเรื่องเท่านั้น ไม่ได้เป็นศัตรูกับเรา ผมไม่อยากไปรื้อประเด็นในเรื่องประวัติศาสตร์ขึ้นมา เพียงแต่คิดว่า คนไทยเราในสมัยนั้นรักกันกับญี่ปุ่นเสียด้วยซ้ำ” การตีความโดยอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ในมุมมองของเรียว จึงไม่ใช่การเน้นภาพของสงครามหรือความขัดแย้ง แต่ภาพที่เขาอยากให้คนดูได้เห็นคือ ‘ความรัก’ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางสงคราม โดยมีอุปสรรคจากเชื้อชาติและเหตุผลทางการเมือง “คู่กรรม ของผมเป็นหนังรักวัยรุ่น ดังนั้นจะไม่มีอะไรที่เยิ่นเย้อยืดยาดแน่นอน โกโบริเจอกับอังศุมาลินก็จีบกันเลย งอนกันง้อกันเลย” ผู้กำกับเน้นย้ำให้เห็นภาพในหนังได้อย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นภาพจำเจที่คนดูเคยเห็นในความเป็น คู่กรรม จะไม่มีทางได้เห็นเลยในฉบับของเขา

ทุกครั้งที่มีการสร้าง คู่กรรม ขึ้นใหม่ครั้งใด ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย นักแสดงผู้ที่มารับบทนำ จะต้องถูกกล่าวถึงอยู่เสมอ และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งการที่นักแสดงจะทำให้คนดู
เชื่อว่าพวกเขาคือตัวละครที่ออกมาจากวรรณกรรมจริง ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การคัดเลือกนักแสดงที่มีคุณภาพจึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ และนี่คือความรู้สึกของ ณเดชน์ คูกิมิยะ แสดงเป็น โกโบริ เมื่อข่าวการสร้างภาพยนตร์ “คู่กรรม” ของ M๓๙ แพร่สะพัดออกไป พร้อมกับการควานหาตัวผู้ที่จะมารับบทสำคัญยิ่งยวดของเรื่องคือ “โกโบริ” ทุกเสียงที่ตอบกลับเข้ามาล้วนชี้ชัดเป็นเสียงเดียวกันว่านักแสดงที่เหมาะสมกับบท “โกโบริ” มากที่สุด ณ เวลานี้ คือ ณเดชน์ คูกิมิยะ นักแสดงหนุ่มที่ทุกคนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาคือ “ซูเปอร์สตาร์” ที่มีแฟน ๆ ให้ความสนใจติดตามผลงานมากที่สุดของประเทศ
“ผมรู้สึกไม่กล้า ตื่นเต้น หวั่น ๆ กลัว ๆ เพราะ ด้วยคำว่า คู่กรรม และความเป็นหนังเรื่
องแรกของผมด้วยทำให้ผมรู้สึกว่า เราจะทำมันได้ดีขนาดไหน มันจะเป็นแบบไหน มันจะเป็นอย่างไร เราจะทำได้ดีแบบถูกใจคนดูหรือเปล่า และการร่วมงานกันเป็นครั้งแรกกับผู้กำกับ พี่เรียวใจเย็นมาก จะกี่เทคก็ช่างขอให้เอาดี ๆ ไว้ก่อน แต่ไม่ให้นักแสดงช้ำ และผมเพิ่งมารู้ว่าพี่เรียวกำกับโกล์ดคลับ ผมเป็นแฟนโกล์ดคลับ วัยรุ่นทุกคนรู้จักโกล์ดคลับ แล้วพอมารู้ว่าพี่เรียวกำกับ คู่กรรม ก็เลยดีใจมาก พี่เรียวมีมุมที่แปลกน่าสนใจ ผมอยากรู้มาก..ว่า อะไรคือ “คู่กรรม” ในสายตาพี่เรียว” ตามการตีความของผู้กำกับ โกโบริคือทหารวัยรุ่นที่อยู่ในกฎระเบียบ มีความยึดมั่นถือมั่นต่อหน้าที่ และที่สำคัญคือมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในความรัก
“ตามคาแรกเตอร์แล้ว โกโบริเป็นวัยรุ่น เป็นหลานนายพล ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้มีความเป็
นทหารเมื่อเจออังศุมาลินเลย เป็นคนไม่ท้อถอยต่อเรื่องใดทั้งปวง แต่ก็เป็นคนที่น่าสงสาร ขี้น้อยใจ ดื้อด้าน ตลก และมีความมั่นคงในความรักมาก” ณเดชน์ ตีความบทโกโบริในแบบที่เขารู้สึก ซึ่งตรงกับสิ่งที่เรียวต้องการแทบทุกอย่าง งานนี้ ณเดชน์ ต้องทำการบ้านหนักพอสมควร แม้จะเคยผ่านงานแสดงมามากแล้วก็ตาม เพราะด้วยการเล่าเรื่องในแบบฉบับของผู้กำกับเรียว จะให้น้ำหนักกับตัวละคร โกโบริมากกว่าอังศุมาลิน ตรงข้ามกับต้นฉบับบทประพันธ์ที่ใช้การเล่าเรื่องจากอังศุมาลินเป็นหลัก
อรเณศ ดีคาบาเลส แสดงเป็น อังศุมาลิน คุยให้ฟังถึงบทนี้ว่า “อังศุมาลินมีหลายบุคลิกมาก มุมหนึ่งก็เป็นคนแข็ง ๆ ที่เจอโกโบริเมื่อไร เป็นต้องวางมาด อาจเพราะมีปัญหาอะไรหลายอย่างทั
้งเรื่องครอบครัวและเรื่องการเมือง พออยู่กับวนัสก็เป็นอีกอย่าง รู้สึกว่าเขาเป็นคนสับสน โกโบริก็รักเขา แต่ก็ต้องทำเป็นไม่รักเพราะเขาเป็นคนญี่ปุ่น”
ด้วยความที่ คู่กรรม เป็นหนังย้อนยุค โดยมีฉากหลังเป็นกรุงเทพฯ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในงานด้านโปรดักชั่นจึงต้องอาศั
ยทีมงานคุณภาพที่เข้าใจในบทประพันธ์ อีกทั้งยังต้องอ้างอิงประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง ทีมงานทุกคนจึงต้องทำงานหนักเป็นพิเศษใส่ใจในทุกรายละเอียด และต้องใช้เวลาในการเตรียมงานสร้างที่มากกว่าหนังเรื่องอื่น ๆ เพื่อให้ผลงานออกมาดีและถูกต้องสมจริงที่สุด คู่กรรม ฉบับนี้ยังได้ช่างแต่งหน้ารุ่นใหญ่ ที่เคยผ่านการทำงานใน คู่กรรม ฉบับก่อนหน้ามาแล้วถึง 4 ครั้ง อย่าง มนตรี วัดละเอียด ซึ่งเขายอมรับว่าเป็นงานหินมาก
ตามท้องเรื่อง โกโบริ เป็นชาวญี่ปุ่นที่สามารถพู
ดภาษาไทยได้ ซึ่งการที่คนต่างชาติพูดภาษาไทยได้ ก็อาจไม่ได้ชัดมาก จึงจำเป็นต้องสอนให้ ณเดชน์ พูดภาษาญี่ปุ่น “ณเดชน์สอนไม่ยาก สำเนียงญี่ปุ่นดีมาก คำที่เขาออกเสียงชัดมากคือคำว่า ซาโยนาระ เวลาที่เขาแสดงสำเนียงพูดจะไม่เพี้ยนเลย จะมีที่ติดนิสัย ร.เรือมาก แต่ก็แก้ได้” Yasuhiko Miyauchi ครูสอนภาษาญี่ปุ่น และร่วมแสดงในบท อาสึมะ ส่วน ริชชี่ ก็ตั้งใจมาก ๆ พูดภาษาญี่ปุ่นชัด และ สำเนียงก็เป็นชาวญี่ปุ่นด้วย

“ทำไมต้องสร้าง คู่กรรม อีกครั้ง?” คือประโยคแรก ที่ใครหลายคนพอได้ยินข่าวว่
าจะมีการสร้าง คู่กรรม อีกครั้ง เป็นต้องเอ่ยถามและยังจะมีคำถามตามมาอีกว่า เพราะเหตุใด? ‘สงคราม’ จึงก่อให้เกิด ‘ความรัก’ ของพวกเขาทั้งสองขึ้นและเพราะเหตุใด? ‘สงคราม’ จึงได้ทำลาย ‘ความรัก’ ของพวกเขาทั้งสอง คำตอบทั้งหมดอยู่ในโรงภาพยนตร์เรียบร้อยแล้ว 4 เมษายน 56 ความรักของพวกเขาทั้งสองจะคงอยู่ตราบชั่วนิรันดร์.